15
Jan
อียิปต์
“การท่องเที่ยวในอียิปต์: สัมผัสอารยธรรมโบราณและสถานที่สำคัญของโลก”
การท่องเที่ยวอียิปต์เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักเดินทางที่หลงใหลในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโบราณ อียิปต์เป็นบ้านเกิดของอารยธรรมโบราณที่มีชื่อเสียงในเรื่องของพีระมิด ฟาโรห์ และการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ไม่ควรพลาดหากคุณมีโอกาสไปเยือน
1. พีระมิดแห่งกีซา (Pyramids of Giza)
พีระมิดแห่งกีซา (Pyramids of Giza): มหัศจรรย์แห่งอารยธรรมโบราณ
พีระมิดแห่งกีซาเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณที่ยังคงยืนหยัดอยู่จนถึงทุกวันนี้ ตั้งอยู่ที่เมืองกีซา ใกล้กับกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสถานที่ฝังศพของฟาโรห์จากยุคอียิปต์โบราณ ซึ่งมีสามพีระมิดหลัก ได้แก่ พีระมิดของฟาโรห์คูฟู (Great Pyramid of Khufu), พีระมิดของฟาโรห์คาเฟร (Pyramid of Khafre) และพีระมิดของฟาโรห์เมนเคอเร (Pyramid of Menkaure)
ความยิ่งใหญ่ของพีระมิดแห่งกีซา:
• พีระมิดของฟาโรห์คูฟู (Great Pyramid of Khufu): เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในสามแห่งและเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ยังคงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน สร้างขึ้นจากหินปูนกว่า 2 ล้านก้อน สูงประมาณ 146 เมตร
• พีระมิดของฟาโรห์คาเฟร (Pyramid of Khafre): เป็นพีระมิดที่มีลักษณะโดดเด่นด้วยการตั้งอยู่บนที่สูง ทำให้ดูเหมือนว่าจะสูงกว่าเล็กน้อย พีระมิดนี้ยังคงมีเศษของหินปูนที่เคยคลุมพีระมิดไว้ที่ยอดอยู่
• พีระมิดของฟาโรห์เมนเคอเร (Pyramid of Menkaure): พีระมิดที่มีขนาดเล็กที่สุดในสามแห่ง แต่ยังคงเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
สฟิงซ์ (The Sphinx):
ใกล้กับพีระมิดแห่งกีซา ยังมีสฟิงซ์ที่มีลักษณะเป็นรูปสิงโตมีศีรษะเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฟาโรห์คาเฟร เป็นหนึ่งในรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีความหมายเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับอำนาจและปริศนา
วิธีการสร้างมหาพีระมิดแห่งกิซ่า
มหาพีระมิดแห่งกิซ่า (Great Pyramid of Giza) ถูกสร้างขึ้นในสมัยฟาโรห์คูฟู (Khufu) ประมาณ 2580-2560 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยใช้แรงงานจำนวนมาก รวมถึงช่างฝีมือและเกษตรกรในช่วงที่น้ำท่วมแม่น้ำไนล์ การสร้างพีระมิดเริ่มจากการออกแบบที่แม่นยำและการจัดเรียงหินที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งใช้หินปูนและหินแกรนิตจากเหมืองห่างไกล การขนส่งหินอาจทำได้โดยใช้รอกไม้ กระบวนการลากหินบนผิวทราย และการใช้เรือบนแม่น้ำไนล์ในช่วงน้ำขึ้นสูง พีระมิดถูกสร้างขึ้นทีละชั้น โดยใช้ทางลาดเพื่อยกหินขึ้นไปยังระดับสูงสุด กระบวนการนี้ใช้เทคนิคที่ซับซ้อนและแม่นยำเพื่อให้โครงสร้างมีความทนทานและสวยงาม การสร้างมหาพีระมิดถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จทางวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ของอียิปต์โบราณและยังคงเป็นปริศนาทางประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน
การสำรวจพีระมิด:
การเยี่ยมชมพีระมิดแห่งกีซาเป็นการเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่ยุคอียิปต์โบราณ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมภายในพีระมิดเพื่อเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน หรือเดินชมรอบๆ เพื่อสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของการก่อสร้างในสมัยโบราณ นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายรูปกับสฟิงซ์และพีระมิดที่สวยงามเป็นที่ระลึก
ข้อแนะนำในการเยี่ยมชม:
• ควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับอากาศร้อนของอียิปต์ และพกน้ำดื่มติดตัวไป
• การเข้าชมบางส่วนของพีระมิดอาจต้องจ่ายค่าเข้าชมเพิ่มเติม
• ควรเดินทางโดยไกด์ท้องถิ่นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความหมายของสถานที่
2. หุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings)
หุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings): มรดกอียิปต์โบราณที่ลึกลับ
หุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) ตั้งอยู่ในเมืองลักซอร์ (Luxor) ทางตอนใต้ของอียิปต์ เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในฐานะที่ฝังศพของฟาโรห์และขุนนางสำคัญของอียิปต์โบราณ หุบเขานี้มีชื่อเสียงในเรื่องของการค้นพบหลุมฝังศพที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์และโบราณวัตถุ รวมถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีความละเอียดสูง ซึ่งเล่าถึงความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวอียิปต์โบราณ
ประวัติความเป็นมาของหุบเขากษัตริย์:
หุบเขากษัตริย์ถูกใช้เป็นที่ฝังศพของฟาโรห์ในช่วงราชวงศ์ใหม่ (New Kingdom) ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณ 1550 ปีก่อนคริสต์ศักราชจนถึง 1070 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยมีหลุมฝังศพจำนวนมากในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงอย่าง ฟาโรห์ทุตันคาเมน (Tutankhamun) และ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Ramses II)
หุบเขานี้ไม่ใช่เพียงแค่หลุมฝังศพของกษัตริย์ แต่ยังเป็นสถานที่ที่ช่างฝีมือและศิลปินอียิปต์โบราณได้สร้างงานศิลปะที่มีความละเอียดและงดงาม เพื่อตกแต่งหลุมฝังศพ รวมถึงภาพจิตรกรรมที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางของวิญญาณสู่ชีวิตหลังความตาย ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ
สถานที่สำคัญในหุบเขากษัตริย์:
1. หลุมฝังศพของทุตันคาเมน (Tomb of Tutankhamun):
เป็นหนึ่งในหลุมฝังศพที่มีชื่อเสียงที่สุดในหุบเขากษัตริย์ และถูกค้นพบโดยนักโบราณคดี ฮาวเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) ในปี 1922 ภายในหลุมฝังศพนี้พบขุมทรัพย์และสิ่งของที่ยังคงสภาพดีจนถึงปัจจุบัน
2. หลุมฝังศพของรามเสสที่ 2 (Tomb of Ramses II):
ฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่มีอำนาจมากที่สุดของอียิปต์โบราณ หลุมฝังศพของเขาในหุบเขากษัตริย์เต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวการรบและการปกครองที่ยิ่งใหญ่ของเขา
3. หลุมฝังศพของเซติที่ 1 (Tomb of Seti I):
หลุมฝังศพของเซติที่ 1 ถือเป็นหนึ่งในหลุมฝังศพที่มีการตกแต่งสวยงามที่สุดในหุบเขากษัตริย์ โดยมีภาพจิตรกรรมที่มีรายละเอียดสูงและภาพที่บอกเล่าเรื่องราวของเทพเจ้าต่างๆ
การขุดค้นและการค้นพบ:
การขุดค้นในหุบเขากษัตริย์เริ่มขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยนักสำรวจและนักโบราณคดีชาวตะวันตก โดยเฉพาะการค้นพบสำคัญเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20:
1. **การค้นพบของ ฮาวเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter):
การขุดค้นที่มีชื่อเสียงที่สุดในหุบเขากษัตริย์คือการค้นพบหลุมฝังศพของ ฟาโรห์ทุตันคาเมน ในปี 1922 โดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษ ฮาวเวิร์ด คาร์เตอร์ ซึ่งเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์ เนื่องจากหลุมฝังศพของทุตันคาเมนไม่ได้ถูกขโมยไปและยังคงมีขุมทรัพย์อันล้ำค่าอยู่มากมาย เช่น หน้ากากทองคำที่มีชื่อเสียง
2. การขุดค้นในพื้นที่อื่นๆ:
นอกจากการค้นพบของทุตันคาเมนแล้ว นักโบราณคดยังคงขุดค้นหลุมฝังศพอื่นๆ ในหุบเขากษัตริย์ที่ยังคงมีขุมทรัพย์และของสำคัญที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอารยธรรมอียิปต์โบราณ ตัวอย่างเช่น หลุมฝังศพของฟาโรห์ราเมเสสที่ 6 และ ฟาโรห์ราเมเสสที่ 4
การขุดค้นในปัจจุบัน:
ในปัจจุบันหุบเขากษัตริย์ยังคงมีการขุดค้นและศึกษาทางโบราณคดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อค้นหาหลุมฝังศพที่ยังไม่ถูกค้นพบ และเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ การขุดค้นในปัจจุบันใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การใช้เรดาร์เพื่อสแกนใต้ดิน เพื่อหาห้องฝังศพหรือสิ่งของที่อาจจะยังไม่ถูกค้นพบ
การเยี่ยมชมหุบเขากษัตริย์:
• การเข้าชม: นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชมหลุมฝังศพต่างๆ ได้บางแห่ง โดยต้องเสียค่าเข้าชมและบางหลุมฝังศพอาจมีข้อจำกัดในการเข้าชม
• การถ่ายภาพ: ในบางหลุมฝังศพอาจห้ามการถ่ายภาพหรือถ่ายภาพได้เฉพาะบางพื้นที่เนื่องจากการอนุรักษ์
• การแนะนำโดยไกด์: การมีไกด์ท้องถิ่นที่มีความรู้จะช่วยให้คุณเข้าใจและเรียนรู้ประวัติศาสตร์และความสำคัญของหลุมฝังศพต่างๆ ได้ดีขึ้น
ข้อแนะนำในการเยี่ยมชม:
• หุบเขากษัตริย์ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อน ดังนั้นควรเตรียมตัวด้วยน้ำดื่มและสวมเสื้อผ้าที่สบาย
• ควรไปเยี่ยมชมในช่วงเช้าหรือเย็นเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนจัดในช่วงกลางวัน
• การเดินทางจากเมืองลักซอร์ไปยังหุบเขากษัตริย์สามารถทำได้ด้วยรถยนต์ส่วนตัวหรือทัวร์ท่องเที่ยว
3. วิหารคาร์นัค (Karnak Temple)
วิหารคาร์นัค (Karnak Temple): สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งอียิปต์โบราณ
วิหารคาร์นัค (Karnak Temple) ตั้งอยู่ที่เมืองลักซอร์ (Luxor) ทางตอนใต้ของอียิปต์ เป็นหนึ่งในวิหารที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในอียิปต์โบราณ วิหารนี้ได้รับการสร้างและขยายในช่วงเวลาหลายร้อยปี โดยมีการเพิ่มองค์ประกอบต่างๆ ตลอดระยะเวลาของการปกครองของฟาโรห์จากราชวงศ์ต่างๆ วิหารคาร์นัคเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการบูชาเทพเจ้า โดยเฉพาะเทพอามอน-รา (Amun-Ra) ซึ่งเป็นเทพเจ้าหลักของอียิปต์โบราณ
ประวัติความเป็นมาของวิหารคาร์นัค:
วิหารคาร์นัคเริ่มก่อสร้างตั้งแต่สมัยฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 2 (Amenhotep II) ในราชวงศ์ที่ 18 และมีการขยายต่อมาในสมัยฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Ramses II) และฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 3 (Thutmose III) รวมถึงฟาโรห์ผู้ปกครองหลายองค์ในช่วงราชวงศ์ใหม่ (New Kingdom) วิหารนี้จึงมีขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยโครงสร้างที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และอำนาจของอียิปต์โบราณ
องค์ประกอบสำคัญของวิหารคาร์นัค:
1. ทางเดินที่มีเสาหิน (Hypostyle Hall):
เป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุดของวิหารคาร์นัค ซึ่งประกอบด้วยเสาหินขนาดใหญ่จำนวน 134 ต้นเรียงรายไปตามทางเดิน ความสูงของเสาหินบางต้นสูงถึง 21 เมตร และมีการแกะสลักลวดลายที่สวยงาม ภายในห้องนี้นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่และความซับซ้อนของสถาปัตยกรรมโบราณ
2. วิหารแห่งอามอน-รา (Temple of Amun-Ra):
นี่คือวิหารหลักของวิหารคาร์นัค ซึ่งใช้เป็นที่บูชาเทพเจ้าอามอน-รา เทพเจ้าผู้ทรงอำนาจที่สุดในพpantheon ของอียิปต์โบราณ ภายในวิหารนี้มีการตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าและฟาโรห์
3. พีระมิดเล็ก (Obelisks):
ในวิหารคาร์นัคยังมีพีระมิดเล็กที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงฟาโรห์ผู้สร้างและเพื่อบูชาเทพเจ้า พีระมิดเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกสร้างจากหินแกรนิตที่แข็งแรงและมีลวดลายที่ละเอียดอ่อน
4. ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Lake):
ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ในวิหารคาร์นัคใช้สำหรับการอาบน้ำและพิธีทางศาสนา รวมถึงการทำพิธีบูชาเทพเจ้าของอียิปต์โบราณ น้ำในทะเลสาบนี้ถูกมองว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้ฟาโรห์และผู้บูชาบรรลุความบริสุทธิ์
การเยี่ยมชมวิหารคาร์นัค:
• เวลาเปิดให้เข้าชม: นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมวิหารคาร์นัคได้ทุกวัน โดยปกติจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น
• การเดินชม: วิหารคาร์นัคมีขนาดใหญ่มาก การเยี่ยมชมสถานที่ทั้งหมดอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง ดังนั้นควรเตรียมตัวด้วยน้ำดื่มและรองเท้าที่สะดวกสบาย
• การทัวร์: การมีไกด์ท้องถิ่นสามารถทำให้คุณเข้าใจถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาของวิหารคาร์นัคได้มากขึ้น
ข้อแนะนำในการเยี่ยมชม:
• ควรเยี่ยมชมวิหารคาร์นัคในช่วงเช้าหรือเย็นเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนจากแสงแดด
• การถ่ายภาพสามารถทำได้ในบางพื้นที่ แต่ควรปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่
• การเตรียมตัวด้วยน้ำดื่มและอุปกรณ์กันแดด เช่น หมวกหรือแว่นกันแดด
4. พิพิธภัณฑ์อียิปต์ (Egyptian Museum)
พิพิธภัณฑ์อียิปต์ (Egyptian Museum): อัญมณีของอารยธรรมโบราณ
พิพิธภัณฑ์อียิปต์ (Egyptian Museum) ตั้งอยู่ในกรุงไคโร (Cairo) เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดในโลก และเป็นสถานที่ที่เก็บรวบรวมสมบัติและโบราณวัตถุจากอียิปต์โบราณอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับฟาโรห์และการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญ ซึ่งเก็บรักษาโบราณวัตถุกว่า 170,000 ชิ้น และมีคอลเลกชันของโบราณวัตถุฟาโรห์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกการจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่ยุคก่อนราชวงศ์จนถึงยุคกรีก-โรมัน (ประมาณ 5500 ปีก่อนคริสต์ศักราช - ค.ศ. 364) เช่น ขุมทรัพย์ของฟาโรห์ทุตันคาเมน (Tutankhamun) และศิลปะอียิปต์โบราณที่มีความสวยงามและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
ประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์:
พิพิธภัณฑ์อียิปต์ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1902 โดยการสนับสนุนจากรัฐบาลอียิปต์ และตั้งอยู่ในอาคารที่ออกแบบโดยสถาปนิกฝรั่งเศส มัร์เดอเซย์ (Marcel Dourgnon) ที่มีสถาปัตยกรรมอียิปต์ผสมผสานกับสไตล์ยุโรป อาคารพิพิธภัณฑ์ได้รับการขยายและปรับปรุงหลายครั้งตลอดช่วงเวลาหลายทศวรรษ และปัจจุบันเป็นสถานที่ที่มีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่มีค่าและสำคัญที่สุดจากอียิปต์โบราณ
สิ่งที่น่าสนใจในพิพิธภัณฑ์อียิปต์:
1. ขุมทรัพย์ของฟาโรห์ทุตันคาเมน (Tutankhamun's Treasures):
หนึ่งในไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของพิพิธภัณฑ์คือการจัดแสดงขุมทรัพย์ของฟาโรห์ทุตันคาเมน ซึ่งรวมถึง หน้ากากทองคำของทุตันคาเมน (Tutankhamun's Gold Mask) ที่เป็นหนึ่งในผลงานศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับ, มงกุฎ, และสิ่งของอื่นๆ ที่พบในหลุมฝังศพของฟาโรห์ทุตันคาเมน
2. รูปปั้นและสัญลักษณ์จากอียิปต์โบราณ (Statues and Symbols of Ancient Egypt):
ในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงรูปปั้นของฟาโรห์, เทพเจ้า, และบุคคลสำคัญต่างๆ เช่น รูปปั้นของ ฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 (Ramses II) และ เทพเจ้าฮอรัส (Horus) ที่มีความสวยงามและแสดงถึงทักษะในการแกะสลักหินของช่างฝีมืออียิปต์โบราณ
3. มัมมี่ (Mummies):
พิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงมัมมี่ของฟาโรห์และขุนนางจากอียิปต์โบราณ รวมถึงการจัดแสดงเทคนิคการมัมมี่และกระบวนการในการเก็บรักษาร่างของผู้ตายให้คงอยู่ตลอดหลายพันปี
4. ภาพจิตรกรรมและการแกะสลัก (Paintings and Engravings):
ภาพจิตรกรรมฝาผนังและการแกะสลักที่พบในหลุมฝังศพหรือวัดต่างๆ ถูกนำมาแสดงในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพเกี่ยวกับเทพเจ้า, ฟาโรห์, การต่อสู้, และชีวิตประจำวันของชาวอียิปต์โบราณ
5. วัตถุโบราณและเครื่องใช้ (Artifacts and Tools):
นอกจากขุมทรัพย์ของฟาโรห์แล้ว พิพิธภัณฑ์ยังมีการจัดแสดงเครื่องมือและเครื่องใช้ต่างๆ ที่ถูกใช้ในชีวิตประจำวันของชาวอียิปต์ เช่น เครื่องปั้นดินเผา, เครื่องประดับ, อาวุธ, และเครื่องมือในการทำเกษตร
การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อียิปต์:
• เวลาเปิดให้เข้าชม: พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมทุกวัน (ยกเว้นวันศุกร์บางครั้ง) ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 7 โมงเย็น
• การทัวร์: การมีไกด์ท้องถิ่นจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงประวัติและความสำคัญของวัตถุต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ได้ดียิ่งขึ้น
• การถ่ายภาพ: การถ่ายภาพในบางพื้นที่อาจจำกัด ดังนั้นควรตรวจสอบกฎระเบียบก่อนที่จะถ่ายภาพ
ข้อแนะนำในการเยี่ยมชม:
• พิพิธภัณฑ์มีขนาดใหญ่ ควรเตรียมเวลาสำหรับการเยี่ยมชมหลายชั่วโมงเพื่อให้สามารถชมสิ่งต่างๆ ได้ครบถ้วน
• ควรพกน้ำดื่มและรองเท้าที่สะดวกสบายเนื่องจากการเดินชมภายในพิพิธภัณฑ์อาจใช้เวลานาน
• หากต้องการประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น ควรจองทัวร์พร้อมไกด์ท้องถิ่น
5. แม่น้ำไนล์ (Nile River)
แม่น้ำไนล์ (Nile River): เส้นเลือดใหญ่ของอียิปต์โบราณ
แม่น้ำไนล์ (Nile River) เป็นหนึ่งในแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอารยธรรมอียิปต์โบราณ แม่น้ำนี้มีความยาวประมาณ 6,650 กิโลเมตร ไหลผ่านหลายประเทศในทวีปแอฟริกา ก่อนจะไหลเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ประเทศอียิปต์ ซึ่งได้กลายเป็นแหล่งน้ำหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนและเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมตั้งแต่ยุคโบราณ
ความสำคัญของแม่น้ำไนล์ต่ออียิปต์โบราณ:
1. แหล่งน้ำที่สำคัญ:
ในอียิปต์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย แม่น้ำไนล์ถือเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ช่วยให้การเกษตรเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้ำจากแม่น้ำไนล์ช่วยให้อียิปต์สามารถปลูกข้าวและพืชผลอื่นๆ ได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูน้ำหลาก (Inundation) ที่น้ำจะท่วมที่ราบริมน้ำและทำให้ดินในพื้นที่ดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์
2. เส้นทางการคมนาคมและการค้า:
แม่น้ำไนล์เป็นเส้นทางการคมนาคมหลักในอียิปต์โบราณ ช่วยให้การขนส่งสินค้าและผู้คนสะดวกยิ่งขึ้น ตั้งแต่การขนส่งเกษตรผลิตไปจนถึงการค้าขายระหว่างเมืองต่างๆ ในอียิปต์และประเทศอื่นๆ ในแอฟริกาและตะวันออกกลาง
3. ความเชื่อทางศาสนา:
ชาวอียิปต์โบราณถือว่าแม่น้ำไนล์เป็นของขวัญจากเทพเจ้าและเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูและการเกิดใหม่ เทพเจ้า ฮาปี (Hapi) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งแม่น้ำไนล์ได้รับการบูชาอย่างสูงในศาสนาของอียิปต์โบราณ และมีการทำพิธีต่างๆ เพื่อขอพรให้แม่น้ำไนล์มีน้ำหลากและเกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างอุดมสมบูรณ์
การท่องเที่ยวในแม่น้ำไนล์:
การล่องเรือในแม่น้ำไนล์เป็นหนึ่งในประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอียิปต์ เนื่องจากการล่องเรือจะพาคุณไปผ่านทิวทัศน์ที่สวยงามและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ริมแม่น้ำ
1. การล่องเรือในแม่น้ำไนล์:
การล่องเรือในแม่น้ำไนล์สามารถทำได้ทั้งแบบเรือสำราญหรูหราหรือเรือท้องถิ่น โดยเฉพาะในเส้นทางที่เชื่อมระหว่างเมือง ลักซอร์ (Luxor) และ อัสวาน (Aswan) ซึ่งคุณจะได้เห็นวัดและโบราณสถานสำคัญเช่น วิหารคาร์นัค (Karnak Temple) หุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) และ วิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel)
2. การเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ:
ระหว่างการล่องเรือ คุณจะได้แวะชมสถานที่สำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับอารยธรรมอียิปต์โบราณ เช่น วิหารฟิเล (Philae Temple) ที่เมืองอัสวาน ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อุทิศให้กับเทพเจ้าอิสซิส (Isis)
กิจกรรมที่น่าสนใจ:
• การล่องเรือชมพระอาทิตย์ตก: พระอาทิตย์ตกในแม่น้ำไนล์เป็นหนึ่งในทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดที่คุณจะได้สัมผัส การล่องเรือในช่วงเวลานี้จะทำให้คุณได้เห็นท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีและน้ำในแม่น้ำที่สะท้อนแสงอย่างน่าทึ่ง
• การเรียนรู้วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์: การล่องเรือในแม่น้ำไนล์ไม่เพียงแต่เป็นการเดินทางทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับอารยธรรมอียิปต์โบราณที่เจริญรุ่งเรืองมาตลอดหลายพันปี
ข้อแนะนำในการท่องเที่ยว:
• เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับอากาศร้อน: โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิในอียิปต์อาจสูงมาก ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สบายและพกน้ำดื่ม
• เลือกเส้นทางการล่องเรือ: หากคุณมีเวลาไม่นาน การล่องเรือในเส้นทางระหว่างลักซอร์และอัสวานถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
• ทัวร์ไกด์: การมีไกด์ท้องถิ่นจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงประวัติศาสตร์และความสำคัญของสถานที่ต่างๆ บนเส้นทางล่องเรือ
เกร็ดความรู้
ช่วงที่เหมาะกับการเที่ยวอียิปต์ อยู่ช่วงประมาณ เดือนตุลาคม – เมษายน อากาศสบายๆ กำลังดี สามารถเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ และบรรยากาศในเมืองได้แบบเพลินๆ