04
Jan
อินเดีย
อินเดีย: ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และศาสนา
อินเดียมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติ ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจ นี่คือลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวในอินเดียที่ควรไปเยือน:
1.ทัชมาฮาล (Taj Mahal)
ทัชมาฮาล (Taj Mahal) คือหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในอินเดีย ตั้งอยู่ในเมืองอักครา รัฐอุตตรประเทศ ทัชมาฮาลสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิมูฮัมมัด อาณา (Shah Jahan) เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ภรรยาของเขาคือ มุมตาซ มาฮัล (Mumtaz Mahal) ผู้ที่เสียชีวิตระหว่างการคลอดบุตรในปี 1631
ทัชมาฮาลเป็นสุสานหินอ่อนสีขาวที่มีการตกแต่งด้วยหินอ่อนที่สลักลวดลายและอัญมณีต่างๆ สถาปัตยกรรมของทัชมาฮาลสะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างสไตล์เปอร์เซีย, อินเดีย, ออตโตมัน, และมุสลิม มันถูกออกแบบให้อยู่ในสวนที่มีน้ำพุและสระน้ำซึ่งสะท้อนภาพของตัวอาคาร ช่วยเพิ่มความงามและความสงบ
ทัชมาฮาลมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 1983 นอกจากนี้ ทัชมาฮาลยังถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักอมตะและเป็นจุดหมายปลายทางที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาเยือนตลอดทั้งปี
2.วัดคาชิวิศวนาถ (Kashi Vishwanath Temple)
วัดคาชิวิศวนาถ (Kashi Vishwanath Temple) ตั้งอยู่ในเมือง วารานสี รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย เป็นหนึ่งในวัดที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดในศาสนาฮินดู โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู วัดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน 12 เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ (Jyotirlinga) ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระศิวะในรูปแบบของแสงสว่าง
วัดคาชิวิศวนาถมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี และเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่พระศิวะได้ประทับอยู่ในเมืองคาชี (ปัจจุบันคือวารานสี) ซึ่งเป็นเมืองที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและจิตวิญญาณของชาวฮินดู วัดตั้งอยู่ริมฝั่งของแม่น้ำคงคา ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวฮินดู การไปเยือนวัดนี้ถือเป็นการทำบุญและการอธิษฐานขอพรจากพระศิวะ
โครงสร้างของวัดคาชิวิศวนาถมีความงดงามและเต็มไปด้วยศิลปะการแกะสลักหินจากโบราณ ตลอดจนสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงความเชื่อและวัฒนธรรมฮินดู ภายในวัดมีการบูชาพระศิวะและมีพิธีกรรมต่างๆ ที่มีความสำคัญทางศาสนา
เมืองวารานสีถือเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการทำพิธีเผาศพและการล้างบาป เนื่องจากเชื่อกันว่าการล้างบาปในแม่น้ำคงคาที่นี่จะช่วยให้จิตวิญญาณได้ไปสู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด (มุคติ)
การเยือนวัดคาชิวิศวนาถจึงไม่เพียงแค่การไปสัมผัสประวัติศาสตร์และศิลปะ แต่ยังเป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้มีความเชื่อทางศาสนาฮินดู
3.พระราชวังอัมเบอร์ (Amber Palace)
พระราชวังอัมเบอร์ (Amber Palace) หรือที่รู้จักกันในชื่อ อัคเบอร์ฟอร์ต (Amber Fort) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในเมือง จัยปูร์ (Jaipur) รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย พระราชวังนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา อัมเบอร์ (Amber Hill) ห่างจากตัวเมืองจัยปูร์ประมาณ 11 กิโลเมตร
พระราชวังอัมเบอร์สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดย **พระเจ้ามันซิงห์ (Maharaja Man Singh I)** ซึ่งเป็นข้าหลวงของจักรพรรดิอัคบาร์แห่งราชวงศ์มุกัล สถาปัตยกรรมของพระราชวังผสมผสานระหว่างสไตล์ของ มุกัล และ ราชาสถาน ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมและศิลปะการก่อสร้างในยุคนั้น
คุณลักษณะเด่นของพระราชวังอัมเบอร์:
1. ภายในพระราชวัง:
- พระราชวังมีห้องต่างๆ ที่ตกแต่งด้วยภาพวาดและลวดลายสวยงาม เช่น **Sheesh Mahal** หรือ “ห้องกระจก” ซึ่งมีการตกแต่งด้วยกระจกที่สะท้อนแสงสร้างความงดงามและแสงระยิบระยับ
- Diwan-i-Aam (ห้องรับรองสำหรับประชาชน) และ Diwan-i-Khas (ห้องรับรองสำหรับแขกสำคัญ) เป็นสถานที่ที่ใช้ในการพบปะและบริหารราชการ
- ห้องต่างๆ ในพระราชวังยังมีการออกแบบอย่างหรูหราและวิจิตร โดยใช้วัสดุหินอ่อนและไม้ประดับ
2. สถาปัตยกรรม:
- สถาปัตยกรรมของพระราชวังประกอบด้วยกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งและป้อมปราการที่สวยงาม พร้อมประตูทางเข้าหลายแห่ง
- พระราชวังตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งทำให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองและทะเลสาบด้านล่างอย่างชัดเจน
3. การเดินทางไปยังพระราชวัง:
- นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังพระราชวังได้โดยการขึ้นรถยนต์, ช้าง หรือแม้กระทั่งเดินขึ้นบันไดที่มีทิวทัศน์สวยงาม
- ภายในพระราชวังมีการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของราชวงศ์มุกัลและราชาสถาน
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์:
พระราชวังอัมเบอร์ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ที่ใช้ในการอยู่อาศัยของราชวงศ์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่และความเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์มุกัลและราชาสถานในยุคโบราณ นอกจากนี้ยังถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาชื่นชมความงามของสถาปัตยกรรมและวิวทิวทัศน์ที่น่าประทับใจ
พระราชวังอัมเบอร์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 2013 และถือเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องไปเยือนในเมืองจัยปูร์
4.คีร์ติการ์ (Qutub Minar)
คีร์ติการ์ (Qutub Minar) เป็นหอคอยที่สูงที่สุดในอินเดียและเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของเมือง นิวเดลี. หอคอยแห่งนี้มีความสูง 72.5 เมตร (237 ฟุต) และตั้งอยู่ในเขต คูตูบ (Qutub) ของนิวเดลี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ประวัติและการสร้าง:
คีร์ติการ์สร้างขึ้นในปี 1193 โดย คุตบุดดิน ไอบาท (Qutb-ud-Din Aibak) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์ เดลีสุลต่าน (Delhi Sultanate) หอคอยแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเข้ามาของอิสลามในอินเดีย และเป็นเครื่องหมายของการยอมรับอำนาจของสุลต่านในเวลานั้น นอกจากนี้ยังถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นมิเนียหรือหอสำหรับการประกาศเสียงศาสนาอิสลามจากหอคอย
ลักษณะสถาปัตยกรรม:
1. การออกแบบ:
- คีร์ติการ์มีการออกแบบที่มีลักษณะคล้ายกับหอคอยที่ใช้ในการประกาศในสมัยอิสลาม ซึ่งมีลักษณะเป็นทรงกระบอกแคบและสูง มีบันไดภายในที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปยังจุดสูงสุดของหอคอยเพื่อชมวิวทิวทัศน์ของเมืองเดลี
- หอคอยนี้มีการตกแต่งด้วยลวดลายสถาปัตยกรรมแบบอิสลามที่สวยงาม และมีการแกะสลักด้วยลวดลายที่ซับซ้อน รวมถึงการใช้แผ่นหินแดงและหินทรายในการก่อสร้าง
2. ฐานหอคอย:
- บริเวณฐานของหอคอยมีการสร้างมุขยื่นออกมาเป็นโครงสร้างที่ใช้ในการสวดมนต์หรือประกาศต่างๆ และมีการตกแต่งด้วยการแกะสลักและจารึกคำสอนจากคัมภีร์อิสลาม
3. ความสำคัญทางประวัติศาสตร์:
- คีร์ติการ์ไม่เพียงแต่เป็นหอคอยที่สวยงาม แต่ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นสัญลักษณ์ของการเข้ามาของอิสลามในอินเดีย และการยอมรับในอำนาจของสุลต่าน
- นอกจากนี้ยังมี พิพิธภัณฑ์คูตูบ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับหอคอยซึ่งจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพื้นที่และการสร้างหอคอย
ความสำคัญในปัจจุบัน:
คีร์ติการ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกในปี 1993 เนื่องจากมีความสำคัญทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นที่นิยมทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวและนักวิจัยที่สนใจในประวัติศาสตร์ของอินเดียและอิสลาม การเยือนคีร์ติการ์จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้เกี่ยวกับอารยธรรมอินเดียและการผสมผสานระหว่างอิสลามและวัฒนธรรมท้องถิ่นในสมัยโบราณ